สงครามยาเสพติด

Psychedelic เหยื่อการเมืองที่ผู้รับเคราะห์คือเรา

ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 มาตรา 1 “ยาเสพติดให้โทษ” หมายความว่า สารเคมี พืช หรือวัตถุชนิดใดๆ ซึ่งเมื่อเสพแล้วทำให้เกิดผลต่อร่างกายและจตใจในลักษณะสำคัญ เช่น

– ต้องเพิ่มขนาดการเสพขึ้นเป็นลำดับ

– มีอาการถอนยาเมื่อขาดยา

– มีความต้องการเสพทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรงตลอดเวลา

– และสุขภาพโดยทั่วไปจะทรุดโทรมลง

กับให้รวมถึงสารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษด้วย แต่ไม่หมายความรวมถึง ยาสามัญประจำบ้านบางตำรับที่มียาเสพติดให้โทษผสมอยู่ตามกฎหมายว่าด้วยยา

ซึ่งผมเชื่อว่า ทุกคนที่มีประสบการณ์การใช้สารเปิดจิต หรือ psychedelic จะเห็นตรงกันว่า สารเปิดจิตนอกจากจะไม่มีคุณสมบัติตามนิยามของยาเสพติดให้โทษแล้ว บางคุณสมบัติยังตรงข้ามกับยาเสพติดด้วยซ้ำ กล่าวคือ สารเปิดจิต…

– ไม่ต้องเพิ่มขนาดการเสพ หากเว้นระยะเวลาการใช้อย่างเหมาะสม และสารเปิดจิตบ้างชนิด เช่น DMT กลับจะต้องลดปริมาณการใช้ลงด้วยซ้ำหากใช้ติดๆ กัน (reverse tolerance)

– ไม่มีการถอดยา หรือ “อยากยา” แต่อย่างใด

– ไม่มีความต้องการเสพทั้งทางร่างกายและจิตใจ ผู้ใช้จะรู้สึกว่าจะใช้เมื่อมีความจำเป็นในการค้นหาอะไรบางอย่างในตัวเองเท่านั้น ไม่มีความอยากใช้พร่ำเพรื่อ เพราะประสบการณ์สามารถเป็นไปได้ทั้งลักษณะที่ทำให้รู้สึกดี และรู้สึกไม่ดี แต่ไม่ว่าประสบการณ์จะเป็นอย่างไร ก็ล้วนให้ผลเชิงบวกในการบำบัดทางจิตใจไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง (เมื่อเจตนาและภาวะแวดล้อม หรือ “set & setting” มีความเหมาะสม) ในทางกลับกัน สารเปิดจิตยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบำบัดอาการเสพติดยาเสพติดให้โทษ อย่างสุรา บุหรี่ ยาบ้า เมทแอมเฟตตามีน โคเคน เฮโรอีน ฯลฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนอีกด้วย

– ไม่ทำให้สุขภาพทรุดโทรมแต่อย่างใด แถมสารเปิดจิตบางชนิด อย่าง psilocybine ที่พบในเห็ดวิเศษ (“เห็ดขี้ควาย”) ยังให้ผลในการขยายกิ่งก้านสาขาของเซลล์สมอง ที่สามารถบรรเทาหรือบำบัดโรคทางสมองบางชนิดได้ หรือ LSD ที่สามารถบำบัดอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือแม้กระทั่งอาการปวดหัวรุนแรงได้ หรือ MDMA ที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถบำบัดภาวะผิดปกติทางจิตที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ (PTSD) ได้ภายใต้การดูแลของจิตแพทย์

ฉะนั้น หากว่ากันตามข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และนิยามตามกฎหมายแล้ว สารเปิดจิต หรือ psychedelic ไม่ควรจะถูกจัดให้เข้าข่ายยาเสพติดให้โทษ แถมควรจะจัดให้อยู่ในข่ายยารักษาโรค (ทางจิต) ด้วยซ้ำ แต่ทำไมสารเปิดจิตเกือบทุกตัว (LSD, DMT, psilocybin, mescaline, MDMA etc.) ถืงถูกจับรวมไปอยู่ในบัญชีรายชื่อ “ยาเสพติดให้โทษ”?

เพื่อให้ทราบถึงที่ต้นตอที่แท้จริง เราต้องย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ (สิ่งหนึ่งที่สังคมไทยไม่ค่อยให้ความสำคํญมากเท่าที่ควร) ของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่นโยบายของเขามีผลกับเกือบทุกประเทศทั่วโลก โดยในยุคต้น ค.ศ.1900 สารเปิดจิตต่างๆ ไม่เพียงไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย แต่ยังยังได้รับการสนับสนุน ทั้งจากภาครัฐและเอกชน ในการศึกษาวิจัยสารเปิดจิตเหล่านี้เพื่อประโยชน์ในการบำบัดทางจิต และศึกษาการทำงานของสมองและสติการรับรู้ (consciousness) ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี ทั้งในด้านการบำบัดอาการจิตเภท วิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ ซึมเศร้า PTSD สารเปิดจิตบางตัว อย่าง MDMA ถูกคิดค้นขึ้นโดยจิตแพทย์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการช่วยบำบัดภาวะทางจิตใจ ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี มหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง Harvard University และ UC Berkeley มีศูนย์วิจัยเห็ดวิเศษและ LSD ภายใต้การนำของ Dr.Timothy Leary และ Dr.Richard Alpert (ที่ภายหลังรู้จักกันในนาม Ram Dass) และที่นั่นก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะในยุคปี 1960 เป็นช่วงสงครามเวียดนาม ที่สหรัฐฯ ได้เกณฑ์คนหนุ่มเป็นทหารเพื่อส่งไปรบเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยผลของการใช้สารเปิดจิตอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นมหาลัย ทำให้วัยรุ่นในยุคนั้นไม่เห็นด้วยกับการทำสงคราม และไม่มีใครอยากสมัครหรือถูกเกณฑ์เป็นทหาร จนเกิดเป็นการประท้วงให้สหรัฐฯ ยุติการทำสงครามในเวียดนาม โดยการนำของ Dr.Leary ซึ่งเป็นการขัดใจประธานาธบดี Richard Nixon เป็นอย่างมาก จน ปธน.Nixon ประกาศให้ Dr.Leary เป็นศัตรูอันดับหนึ่งของรัฐ และสืบจนทราบว่า สาเหตุที่คนรุ่นใหม่ในยุคนั้นไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามตามนโยบายของรัฐฯ ก็เพราะการใช้สารเปิดจิตอย่างแพร่หลาย (ซึ่งสารเปิดจิตจะทำให้คนเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่งและมนุษยชาติ เกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจ การฆ่าแกงกันจึงเป็นสิ่งที่พวกเขารับไม่ได้) ในเดือน มิถุนายน ค.ศ.1971 ปธน.Nixon จึงประกาศ “สงครามยาเสพติด” (War on Drugs) โดยเหมารวมเอาสารเปิดจิตทั้งหลายเข้าไปด้วย เพื่อใช้เป็นของอ้างในจับกุมผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายการทำสงครามของรัฐฯ (ซึ่งช่วงเวลา 50 กว่าปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่ได้ผลในการลดหรือขจัดการใช้ยาเสพติดให้โทษที่แท้จริง และกลับส่งผลเสียต่อประชาชนมากกว่าผลดี) ประเทศที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ จึงจำเป็นต้องแก้กฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับสหรัฐฯ ด้วย โดยไม่สนใจข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ และทำให้งานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับสารเปิดจิตต้องหยุดชะงักไปด้วย

ความจริงแล้ว การกีดกันหรือปิดกั้นประเพณีหรือวัฒนธรรมที่อาจมีผลต่ออำนาจในการปกครองของรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่ชนชั้นปกครองทำมาช้านาน เช่น เมื่อราว 500 ปีก่อน ช่วงที่สเปนบุกเข้ามายึดดินแดนในทวีปอเมริกาใต้ ชนพื้นเมืองมีการใช้เห็ดวิเศษและกระบองเพชรในการบำบัดเยียวยาจิตวิญญาณมาเป็นเวลาหลายพันปี ด้วยการให้ผู้ที่เข้าพิธีสามารถรู้สึกและสัมผัสกับพลังธรรมชาติ (ที่พวกเขาถือว่าคือพระเจ้า) ได้โดยตรง แต่คนขาวชาวคาธอลิกในยุคนั้นเห็นว่า ไม่ควรจะมีใครสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้โดยตรงนอกจากคนที่เป็นบาตรหลวง จึงมองว่าประเพณีที่ทำให้คนสามารถเข้าถึง “พระเจ้า” ได้โดยตรง เป็นสิ่งที่ขัดกับความเชื่อหรือนโยบายของนิกายคาธอลิก จึงพยายามลบล้างพิธีเก่าแก่เหล่านั้นด้วยการออกกฎหมายมากีดกัน และนโยบายสงครามยาเสพติดของ ปธน.นิคสัน ก็คือการกระทำในทำนองด้วยกัน ด้วยการกำจัดคู่ขัดแย้งทางการเมืองด้วยการออกกฎหมายเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบ แม้ว่ากฎหมายนั้นนอกจากจะไม่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนแล้ว ยังทำร้ายคนจำนวนมากที่อาจจะได้ประโยชน์จากการบำบัดด้วยสารเปิดจิตอีกด้วย

สารเปิดจิตจึงตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่นั้นมา ซึ่งคนที่เสียประโยชน์คือผู้ที่ควรจะได้รับการรักษาด้วยสารอันทรงพลังเหล่านี้ โดยจากงานวิจัยล่าสุด ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภายของสารเปิดจิต อย่าง psilocybin, LSD และ DMT ในการบำบัดโรคที่ทำให้คนต้องทนทุกข์ทรมานมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งก็คือโรคซึมเศร้า ได้ดีกว่ายาต้านซึมเศร้าแผนปัจจุบันอย่างมาก และสารเปิดจิตอย่าง MDMA และ Ketamine (“ยาเค”) ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือช่วยให้จิตแพทย์บำบัดโรค PTSD ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ด้วยสถิติผู้เป็นโรคซึมเศร้าที่เพิ่มสูงขึ้นมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และปัญหาผู้ติดยาเสพติดที่กลับเพิ่มมากขึ้นจากนโยบาย “สงครามยาเสพติด” ของสหรัฐฯ จนผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ไม่สามารถนิ่งเฉยได้ ปัจจุบันนี้ ประเทศที่ถือว่ามีกฎหมายยาเสพติดที่เข้มงวดมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลกอย่างอังกฤษ ก็ยังให้มีคลีนิกจิตเวชที่สามารถใช้สารเปิดจิตอย่าง MDMA มาช่วยในกับบำบัดได้ และมหาวิทยาลัย Imperial College London ก็เป็นหนึ่งในผู้นำงานวิจัยการบำบัดโรคซึมเศร้าด้วย psilocybin ในเห็ดวิเศษที่ได้ผลดีอย่างที่ไม่เคยมียาเคมีชนิดใดทำได้มาก่อน และยังมีมูลนิธิ Beckley Foundation ที่ให้การสนับสนุนงานวิจัยเกี่ยวกับการใช้ LSD และไมโครโดสสารเปิดจิตเพื่อการบำบัด ในสวิสเซอร์แลนด์ ประเทศผู้ให้กำเนิด LSD โรงพยาบาลและคลีนิกสามารถใช้ LSD ในการบำบัดผู้ป่วยซึมเศร้า ติดยาเสพติด ไปจนกระทั่งอาการปวดหัวรุนแรงได้อีกด้วย ในแคนาดา แม้สารเปิดจิตส่วนใหญ่จะยังไม่ถูกกฎหมายซะทีเดียว แต่ไม่มีการจับหรือปรับผู้ถือครองแต่อย่างใด (decriminalized) และแพทย์สามารถยื่นขออนุญาตใช้สารเปิดจิตในการรักษาผู้ป่วยได้ตามเห็นสมควร ในสหรัฐอเมริกาเอง เมืองสำคัญๆ อย่าง Seattle, WA; Oakland, CA; Denver, CO; Cambridge, MA รวมทั้งเมืองหลวง Washington D.C. ก็ไม่มีการจับหรือปรับผู้ครอบครองสารเปิดจิต สามารถใช้ได้โดยที่กฎหมายไม่แพ่งเล็ง (decriminalized) และในเมือง Oregon, CA ถือว่าเป็นสิ่งถูกกฎหมายและสามารถใช้ในการบำบัดได้ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญอีกด้วย

ด้วยการ “ปลดล็อค” กัญชา และเห็ดวิเศษที่กำลังจะตามมาในไม่ช้า ประเทศไทยถือว่าได้นำตัวเองไปอยู่ในแนวหน้าของประเทศผู้นำการบำบัดด้วยสมุนไพร ที่เราเองก็มีภูมิปัญญามาช้านาน หากรัฐบาลเปิดใจ ประเทศไทยก็จะมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางการบำบัดจิตใจของเอเชีย (psychiatric therapy center of Asia) ที่คนทั่วโลกสามารถเดินทางเข้ามารับการบำบัดภายใต้การดูแลอย่างมีน้ำใจของคนไทยที่เป็นที่ชื่นชมอยู่แล้วทั่วโลก การบำบัดจิตใจเป็นพื้นฐานของสุขภาพที่ดี ที่สามารถช่วยรัฐฯ ลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข และเป็นพื้นฐานสำคัญของสังคมที่สงบสุข ที่อยู่กันอย่างเห็นอกเห็นใจ ทั้งต่อผู้อื่น ตนเอง และธรรมชาติ ซึ่งนี่อาจจะเป็นทางรอดเดียวของมนุษยชาติที่จะเลิกทำร้ายตัวเอง และกลับมาอยู่ร่วมกับโลก บ้านหลังเดียวของเราในจักรวาลอันเคว้งคว้าง ได้อย่างกลมกลืน

อ้างอิง https://www.netflix.com/th-en/title/80229847