บำบัดซึมเศร้าด้วยเห็ด

โรคซึมเศร้า (depression) เป็นโรคที่มีคนพูดถึงกันมากขึ้นทุกๆ ปี โดยเฉพาะในสภาวะเศรษฐกิจโควิดแบบนี้ แต่วิธีการรักษาแผนปัจจุบันแทบจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกินยา “ต้านซึมเศร้า” (antidepressant) ทุกวันเป็นเวลานานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ อย่างน้อยก็เป็นปี เป็นสิบปี หรือตลอดชีวิต สาเหตุที่ยาต้านซึมเศร้าทำได้แค่นี้เพราะยาเหล่านี้ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นตอ แต่เป็นแค่การกินยาตามอาการ (ปรับสมดุลสารเคมีในสมองรายวัน) ทำให้ต้องกินยาทุกวัน บางคนไม่กล้าที่จะหยุดกินแม้แต่วันเดียว

แต่ทางออกของคนที่เป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้มีแค่การกินยาทุกวันอย่างไร้ความหวัง เพราะสถาบันวิจัยชั้นนำของโลกอย่าง John Hopkins (US) และ Imperial College London (UK) ได้ศึกษาการรักษาโรคซึมเศร้าด้วยเห็ดเมา (psilocybin mushroom) มาเป็นเวลานับสิบปี โดยได้ผลวิจัยอย่างชัดเจนว่า การเข้าบำบัดด้วยเห็ดเมาเพียง 1 หรือ 2 ครั้งสามารถลดหรือทำให้อาการซึมเศร้าหายไปได้นานต่อเนื่องนานถึง 6 เดือน บางคนนานกว่า 2 ปี (ย้ำว่าจากการบำบัดด้วยเห็ดเพียง 1-2 ครั้งเท่านั้น ไม่ใช่กินทุกวันแบบยาต้านซึมเศร้า) แต่ไม่ใช่ว่าจะได้ผลกันทุกคน ผลวิจัยบอกว่าการบำบัดใช้ได้ผลกับผู้ป่วยราว 60% ซึ่งถือว่าสูงมากหากเทียบกับยาต้านซึมเศร้าในปัจจุบัน ที่สำคัญกว่านั้นคือ การบำบัดด้วยเห็ดเมาให้ผลที่ดีขึ้นทันที ไม่ต้องรอยาออกฤทธิ์เป็นสัปดาห์ และบำบัดเพียง 1-2 ครั้งเท่านั้น ไม่ต้องกินยาทุกวัน

สาเหตุที่เห็ดเมารักษาโรคซึมเศร้าได้ดีกว่ายาต้านซึมเศร้าเพราะ psilocybin สารออกฤทธิ์ในเห็ดเมา เข้าไปรีเซ็ตสมองด้วยการเพิ่มการเชื่อมต่อให้ส่วนต่างๆ ของสมองคุยกันมากขึ้น อะไรที่เคยถูกฝังกลบไว้ในจิตใต้สำนึกก็ถูกขุดขึ้นมาให้คนๆ นั้นได้เผชิญจนเข้าใจถึงรากเหง้าของปัญหาทางจิตใจ เมื่อเข้าใจก็จะเกิดการยอมรับและปล่อยวาง เหมือนเป็นการปลดล็อคสมองให้หลุดออกจากวงจรความคิดเดิมๆ แคบๆ ที่ไม่ไปไหนซักที (จนเกิดเป็นอาการซึมเศร้า) โดยประสบการณ์ที่คนๆ นั้นได้จากเห็ด นอกจากสีสันหรือภาพวิจิตรพิศดารต่างๆ ที่บางคนเรียกว่า “ภาพหลอน” แล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าคือความรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง ที่ผู้มีประสบการณ์บางคนเรียกว่าพระเจ้าหรือจักรวาลหรือนิพพาน จึงสามารถเห็นถึงความสวยงามและเข้าใจถึงคุณค่าของสิ่งที่เรียกว่าชีวิตได้ในระดับความรู้สึก ไม่ใช่แค่ระดับความคิด โดยเขาจะสามารถจดจำทุกความรู้สึกที่เขาได้จากประสบการณ์และระลึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตได้ทุกครั้งเขาเริ่มเกิดอาการเชิงลบขึ้นในใจ

คำถามคือ ในเมื่อผลวิจัยชัดเจนขนาดนี้แล้วทำไมโรงพยาบาลหรือจิตแพทย์ ไม่รักษาผู้ป่วยซึมเศร้าด้วยเห็ดเมาล่ะ? คำตอบคือ เพราะเขาไม่ได้เรียนมาแบบนี้ ฉะนั้นเขาจึงไม่มีความรู้หรือความมั่นใจที่จะใช้กับผู้ป่วย หรือต่อให้มีจิตแพทย์คนไหนศึกษาเรื่องการรักษาด้วยเห็ดเมามาเป็นอย่างดี เขาก็ทำไม่ได้ เพราะกฎหมายเขียนไว้ว่าเห็ดเมาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย นี่คือสิ่งที่สารคดีงานวิจัยของ Imperial College ได้ทิ้งท้ายไว้ (ลิงค์ข้างล่าง) คือผู้ป่วยซึมเศร้าที่มาเป็นอาสาสมัครรักษาด้วยเห็ดแล้วดีขึ้นอย่างมาก แต่พอจบงานวิจัย 6 เดือนให้หลัง ทีมวิจัยไม่สามารถบำบัดด้วยเห็ดให้พวกเขาต่อได้ พวกเขาเลยต้องกลับไปกินยาต้านซึมเศร้าทุกวันเหมือนเดิม ซึ่งไม่ได้ทำให้ชีวิตพวกเขาดีขึ้นเพียงแต่ไม่แย่ลงจนถึงจุดที่คิดฆ่าตัวตายเท่านั้นเอง ถ้าถามว่านั่นคือชีวิตหรือไม่ หลายคนคงตอบว่าไม่ใช่

ดีที่ทีมวิจัยของ Imperial College ได้รับการสนับสนุนจนตั้งเป็นศูนย์วิจัยสารเปิดจิต (psychedelic) ทำให้สามารถทำงานวิจัยด้านการบำบัดโรคทางจิตด้วยสารเปิดจิตได้อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

https://www.imperial.ac.uk/psychedelic-research-centre/

คำถามที่สำคัญสำหรับคนไทยคือ แล้วเมืองไทยล่ะ? เห็ดเมามีอยู่ในแทบจะทุกกองอึช้าง อึวัว แต่ไม่ถูกเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งๆ ที่นักวิจัยระดับโลกก็พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่ามันมีประโยชน์มากกว่ายาอุสาหกรรมราคาแพงซะอีก แต่แค่มันถูกเขียนไว้ในกระดาษว่าเห็ดเมาเป็น “ยาเสพติดให้โทษ” (ทั้งๆ ที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าทั้งไม่เสพติด ทั้งไม่เคยทำให้ใครป่วยหรือตาย แถมมีศักยภาพในการบำบัดโรคทางจิตได้ดีกว่ายาอุตสาหกรรม) เลยต้องซื้อยาบริษัทฝรั่งกิน กินแบบหยุดไม่ได้และไม่มีความหวังว่าจะหายด้วย ถามว่าถ้าต้องกินขนาดนั้นแล้วมันจะไปต่างอะไรกับยาเสพติดถูกกฎหมาย?

ยังมีหลักฐานทางโบราณคดีด้วยว่าเห็ดเมามีส่วนอย่างมากในวิวัฒนาการสมองของมนุษย์ ทำให้เกิดการสื่อสารด้วยภาษาและความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ เมื่อหลายล้านปีก่อน และมีการใช้เห็ดเมาในพิธีกรรมและการบำบัดในแทบจะทุกวัฒนธรรมทั่วทุกมุมโลกมาหลายพันปี แต่อยู่ๆ วันนึงนายนิคสันก็ออกมาประกาศว่าสารเปิดจิตอย่างเห็ดเมาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เพียงเพราะต้องการปิดปากนักเคลื่อนไหวทางการเมืองปัญญาชนฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น จนกลายเป็นกฎหมายที่ประเทศสมาชิกสหประชาชาติต้องทำตาม และผู้ที่เสียประโยชน์คือผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหลายร้อยล้านคนทั่วโลก ยังไม่นับรวมผู้ป่วยโรคอื่นๆ อย่าง PTSD (ภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง) โรควิตกจริต จิตเภท (schizophrenia) สองบุคลิก (bipolar disorder) ผู้ติดยาเสพติด ผู้คิดฆ่าตัวตาย (suicidal) หรือแม้แต่ผู้ป่วยมะเร็งบางชนิด ที่เห็ดเมาได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการรักษาโรคเหล่านี้ได้

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC8156539/

สิ่งที่ผมอยากฝากบอกผ่านไปยังผู้ที่ทำงานในวงการจิตเวชในเมืองไทย (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จิตแพทย์ อาจารย์มหาวิทยาลัย นักวิจัย นักบำบัด) คือ หากท่านเห็นแก่ประโยชน์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า (และโรคอื่นๆ ดังกล่าวข้างต้น) และมีความจริงใจที่จะรักษาพวกเขาให้หายขาด ให้พวกเขากลับมาเป็นคนที่สามารถมีชีวิตปกติได้ ท่านย่อมรู้ดีว่าวิธีการรักษาด้วยยาอุตสาหกรรมที่ท่านเรียนมา ไม่ใช่การรักษา แต่เป็นแค่การปรับสมดุลสารเคมีในสมองชั่วคราวเท่านั้น โดยกลายการบังคับให้ผู้ป่วยต้องเสพติดยาราคาแพงอย่างถูกกฎหมาย ในเมื่อท่านก็อ่านภาษาอังกฤษได้ งานวิจัยระดับโลกเกี่ยวกับศักยภาพของเห็ดเมาก็มากมาย (ซึ่งหากรวบรวมเป็น literature reviews จะได้เป็นหนังสือหนาหลายพันหน้าเลยทีเดียว) ทำไมไม่คิดทำวิจัย (ซึ่งสามารถเขียนขออนุญาตในนามสถาบันได้แม้จะเป็นสารผิดกฎหมาย) เพื่อให้ผู้ป่วยในเมืองไทยมีทางเลือกในการรักษาที่ยั่งยืน

* หมายเหตุ: บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ความรู้และปลุกจิตสำนึกของผู้มีส่วนรับผิดชอบ ไม่มีจุดประสงค์ในการชี้นำหรือสนับสนุนให้ใช้สารผิดกฎหมายแต่อย่างใด