https://www.imperial.ac.uk/psychedelic-research-centre/
คำถามที่สำคัญสำหรับคนไทยคือ แล้วเมืองไทยล่ะ? เห็ดเมามีอยู่ในแทบจะทุกกองอึช้าง อึวัว แต่ไม่ถูกเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งๆ ที่นักวิจัยระดับโลกก็พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่ามันมีประโยชน์มากกว่ายาอุสาหกรรมราคาแพงซะอีก แต่แค่มันถูกเขียนไว้ในกระดาษว่าเห็ดเมาเป็น “ยาเสพติดให้โทษ” (ทั้งๆ ที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าทั้งไม่เสพติด ทั้งไม่เคยทำให้ใครป่วยหรือตาย แถมมีศักยภาพในการบำบัดโรคทางจิตได้ดีกว่ายาอุตสาหกรรม) เลยต้องซื้อยาบริษัทฝรั่งกิน กินแบบหยุดไม่ได้และไม่มีความหวังว่าจะหายด้วย ถามว่าถ้าต้องกินขนาดนั้นแล้วมันจะไปต่างอะไรกับยาเสพติดถูกกฎหมาย?
ยังมีหลักฐานทางโบราณคดีด้วยว่าเห็ดเมามีส่วนอย่างมากในวิวัฒนาการสมองของมนุษย์ ทำให้เกิดการสื่อสารด้วยภาษาและความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ เมื่อหลายล้านปีก่อน และมีการใช้เห็ดเมาในพิธีกรรมและการบำบัดในแทบจะทุกวัฒนธรรมทั่วทุกมุมโลกมาหลายพันปี แต่อยู่ๆ วันนึงนายนิคสันก็ออกมาประกาศว่าสารเปิดจิตอย่างเห็ดเมาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เพียงเพราะต้องการปิดปากนักเคลื่อนไหวทางการเมืองปัญญาชนฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น จนกลายเป็นกฎหมายที่ประเทศสมาชิกสหประชาชาติต้องทำตาม และผู้ที่เสียประโยชน์คือผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหลายร้อยล้านคนทั่วโลก ยังไม่นับรวมผู้ป่วยโรคอื่นๆ อย่าง PTSD (ภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง) โรควิตกจริต จิตเภท (schizophrenia) สองบุคลิก (bipolar disorder) ผู้ติดยาเสพติด ผู้คิดฆ่าตัวตาย (suicidal) หรือแม้แต่ผู้ป่วยมะเร็งบางชนิด ที่เห็ดเมาได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการรักษาโรคเหล่านี้ได้
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC8156539/
สิ่งที่ผมอยากฝากบอกผ่านไปยังผู้ที่ทำงานในวงการจิตเวชในเมืองไทย (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จิตแพทย์ อาจารย์มหาวิทยาลัย นักวิจัย นักบำบัด) คือ หากท่านเห็นแก่ประโยชน์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า (และโรคอื่นๆ ดังกล่าวข้างต้น) และมีความจริงใจที่จะรักษาพวกเขาให้หายขาด ให้พวกเขากลับมาเป็นคนที่สามารถมีชีวิตปกติได้ ท่านย่อมรู้ดีว่าวิธีการรักษาด้วยยาอุตสาหกรรมที่ท่านเรียนมา ไม่ใช่การรักษา แต่เป็นแค่การปรับสมดุลสารเคมีในสมองชั่วคราวเท่านั้น โดยกลายการบังคับให้ผู้ป่วยต้องเสพติดยาราคาแพงอย่างถูกกฎหมาย ในเมื่อท่านก็อ่านภาษาอังกฤษได้ งานวิจัยระดับโลกเกี่ยวกับศักยภาพของเห็ดเมาก็มากมาย (ซึ่งหากรวบรวมเป็น literature reviews จะได้เป็นหนังสือหนาหลายพันหน้าเลยทีเดียว) ทำไมไม่คิดทำวิจัย (ซึ่งสามารถเขียนขออนุญาตในนามสถาบันได้แม้จะเป็นสารผิดกฎหมาย) เพื่อให้ผู้ป่วยในเมืองไทยมีทางเลือกในการรักษาที่ยั่งยืน
* หมายเหตุ: บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ความรู้และปลุกจิตสำนึกของผู้มีส่วนรับผิดชอบ ไม่มีจุดประสงค์ในการชี้นำหรือสนับสนุนให้ใช้สารผิดกฎหมายแต่อย่างใด