Psychedelic หรือสารเปิดจิต ถูกสังคมกระแสหลักมองว่าเป็นสารเสพติดประเภทหนึ่ง (ซึ่งมีที่มาในท้ายบทความนี้) แต่ผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์จากสถาบันชั้นนำเช่น มหาวิทยาลัย Johns Hopkins ในสหรัฐอเมริกาและมหาวิทยาลัย Imperial Collage ในอังกฤษ พบว่า นอกจากสารประเภทนี้จะไม่มีฤทธิ์ทำให้เสพติดแล้ว ยังสามารถใช้ในการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดอย่างเฮโรอีน สุรา บุหรี่ หรือแม้แต่กาแฟ และผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าหรือคิดฆ่าตัวตาย ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากกว่าการบำบัดด้วยวิธีอื่นเพียงการใช้ไม่กี่ครั้งเท่านั้น เพราะสารเปิดจิตมีกลไกการทำงานที่ต่างจากสารหรือยาประเภทอื่นๆที่ทำได้แค่กดอาการไว้เพียงชั่วขณะเท่านั้น สารเปิดจิตจะเข้าไปปิดหรือลดการทำงานของวงจรสมองส่วน default mode (ดีฟอลท์โหมด) ซึ่งเป็นส่วนที่ร่างกายเราใช้ดำเนินความคิดอยู่เป็นประจำซ้ำๆจนทำให้เราเข้าใจว่านั่นคือ “ตัวตน” ของเรา เช่นฉันเป็นคนใจร้อน เป็นคนขี้เกียจ เป็นคนบ้างาน เป็นคนไม่คู่ควร เป็นคนรักใครไม่เป็น เป็นคนขี้เหงา เป็นคนชอบกินของหวาน เป็นคนติดเหล้าติดบุหรี่ เป็นคนที่ไม่สามารถทำอะไรได้หากไม่ได้กาแฟซักแก้ว เป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งคำว่า ฉัน “เป็นคน…” ล้วนแต่ผุดขึ้นมาจากการคิดด้วยสมองส่วน default mode นี้ทั้งสิ้น การเข้าใจความเป็นตัวตนลักษณะนี้ ในภาษาจิตเวชเรียกว่า ego (อีโก้) หรือในภาษาพุทธเรียกว่าอัตตาหรือความเป็นตัวกูของกู และการติดอยู่ในกับดักของอัตตาก็คือที่มาของความทุกข์ในรู้แบบต่างๆ เช่นอาการซึมเศร้า ความหวาดระแวง และอาการเสพติดต่างๆ ฉะนั้นการที่สารเปิดจิตเข้าไปลดหรือปิดการทำงานของสมองส่วน default mode จึงเท่ากับเข้าไปหยุดการทำงานของ ego หรือเข้าไปดับความเป็นอัตตาในหัวของเรา เมื่อเราไม่มีอัตตา เราก็จะสามารถประมวลผลความคิดได้อย่างเป็นกลาง อย่างที่มันเป็นจริงๆ โดยที่ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางที่ทำให้เกิดการคิดลำเอียงเข้าข้างตัวเอง
ตัวอย่างเช่น มีบรรณาธิการหญิงวัย 60 ปีคนหนึ่ง สูบบุหรี่มานานกว่า 30 ปี เขาพยายามทุกวิถีทางที่จะเลิกบุหรี่หลายต่อหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จซักที จนเขาได้มาใช้เห็ดเมา (psilocybin mushrooms) ที่มหาวิทยาลัย Johns Hopkins เขาเล่าประสบการณ์ที่ได้จากเห็ดว่า เขารู้สึกเหมือนมีปีกงอกออกมาแล้วเธอก็บินทะลุผ่านประวัติศาสตร์ยุโรป ได้เห็นเชคสเปียร์ ผ่านการตายมา 3 ครั้ง และเห็นควันจากร่างของเขาที่ถูกเผาในงานศพตัวเองลอยขึ้นจากแม่น้ำคงคา ทำให้เขาคิดได้ว่า ในโลกนี้มีสิ่งมหัศจรรย์อีกมากมายให้ดูและให้ทำ การฆ่าตัวตายด้วยบุหรี่จึงเป็นเรื่องที่โง่เง่าที่สุด เมื่อคิดได้อย่างนั้นเธอก็เลิกสูบบุหรี่ได้ทันที ด้วยการใช้เห็ดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น บางคนอาจจะมองว่า เรื่องแค่นี้ใครๆก็น่าจะคิดได้ โดยเฉพาะคนที่มีความรู้ความสามารถระดับบรรณาธิการหนังสือ ไม่เห็นต้องให้เห็ดมาบอกเลย ซึ่งก็จริง แต่ในสภาวะจิตปกติ ทันทีที่เขาคิดจะเลิกบุหรี่ อัตตาของเธอก็จะออกมาหาข้ออ้างให้เสมอ ทำให้เธอไม่สามารถเลิกได้ซักที แต่พออยู่ในฤทธิ์ของสารเปิดจิตอย่างไซโลไซบิน อัตตาของเธอจะหยุดทำงาน หยุดหาข้ออ้างให้เธอ ทำให้เธอสามารถเห็นความคิดเดียวกันนี้ด้วยความเป็นกลางจริงๆ ในระดับที่ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป เธอจึงสามารถเลิกบุหรี่ได้ ซึ่งลักษณะรู้แจ้งถึงความเป็นจริงนี้เป็นซึ่งที่พบได้บ่อยๆในคนที่ใช้สารเปิดจิต แม้จะเพียงครั้งเดียวก็ตาม
จากทดลองสแกนสมองด้วยเครื่อง fMRI (Functional Magnetic Resonanc Imaging: การสร้างภาพโดยกิจด้วยเรโซแนนท์แม่เหล็ก หรือ “อุโมงค์”) ของผู้ที่กำลังอยู่ภายใต้ฤทธิ์ของสารเปิดจิตอยู่ พบว่า เมื่อสมองส่วน default mode ถูกลดหรือหยุดการทำงาน สมองส่วนอื่นๆที่ไม่เคยคุยกันก็จะเชื่อมต่อกันมากขึ้น เช่นสมองส่วนรับการมองเห็นก็จะคุยกับส่วนรับรู้เสียง จึงทำให้เกิดลักษณะการ “ได้ยิน” สีสันต่างๆ หรือการ “มองเห็น” เสียงต่างๆเป็นสีสัน สมองส่วนที่ไม่ค่อยถูกใช้งานก็จะถูกกระตุ้นให้ทำงานขึ้นมา จึงทำให้เกิดการคิดนอกกรอบ เพราะเป็นความคิดที่เกิดขึ้นภายนอกวงจร default mode ที่ก่อนหน้านี้ได้จำกัดหรือกดความคิดที่หลากหลายเหล่านี้ไว้ เกิดเป็นความคิดสร้างสรรค์หรือปัญญาญาณ (wisdom) ที่อยู่ๆก็ผุดขึ้นมาในหัว เหมือนเด็กๆในชั้นเรียนที่ไม่มีคุณครูเจ้ากี้เจ้าการมาคอยบังคับว่าจะต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้เท่านั้น สารเปิดจิตจึงเป็นที่นิยม ไม่เพียงแค่ในหมู่ศิลปินที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตผลงาน แต่ยังเป็นที่นิยมของนักพัฒนาที่ทำงานใน Silicon Valley ในสหรัฐอเมริกา เพราะมันทำให้พวกเขาสามารถคิดนอกกรอบและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือแอปพลิเคชันใหม่ๆได้เรื่อยๆ ซึ่งที่จริงแล้ว สถาบันวิจัยสารเปิดจิตอับดับหนึ่งในอเมริกาอย่างมหาวิทยาลัย Johns Hopkins ก็ได้เงินทุนสนับสนุนหลักจากบรรดาบริษัท IT ยักษ์ใหญ่ใน Silicon Valley ทั้งสิ้น
นักปรัชญาและประสาทวิทยา ดร.แซม แฮร์ริส (Sam Harris) บอกว่าความจริงแล้วการลดหรือหยุดการทำงานของสมองส่วน default mode สามารถทำได้ด้วยการนั่งสมาธิ โดยไม่ต้องใช้สารเปิดจิตช่วยแต่อย่างใด แต่ต้องอาศัยการอุทิศตนให้กับการฝึกฝนอย่างจริงจังเป็นเวลานานซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ บางคนไม่เห็นเหตุผลด้วยซ้ำว่าเขาจะนั่งสมาธิไปเพื่อให้ได้อะไรขึ้นมา แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับชีวิตเขายังไง ยิ่งคนที่มีปัญหาในชีวิตอยู่แล้วเช่น มีความทุกข์ฝังใจจากประสบการณ์ร้ายๆ การติดยาเสพติด หรืออาการซึมเศร้า ยิ่งมีโอกาสน้อยที่คนกลุ่มนี้จะมีกะจิตกะใจอุทิศตนให้กับการฝึกสมาธิเพื่อนำตัวเองให้หลุดพ้นจากความทุกข์ให้หัวเหล่านั้นได้ ฉะนั้นการใช้สารเปิดจิตแทบจะเป็นหนทางเดียวสำหรับคนกลุ่มนี้ที่จะช่วยให้เขามองเห็นหรือหลุดออกจากกรอบของอัตตา ซึ่งเป็นวงจรความคิดเดิมๆซ้ำๆที่ขังเขาไว้ในหัวเขาเอง แม้จะเพียงชั่วขณะ แต่เขาก็จะเห็นได้ว่าชีวิตมีอะไรมากกว่าความคิดและความเชื่อเดิมๆที่เขาได้แต่คิดวนไปวนมาตลอดเวลา และหากเขาได้รับคำปรึกษาอย่างเหมาะสมภายหลังจากประสบการณ์การเปิดจิต เขาก็จะสามารถเห็นถึงวิธีการออกจากกรอบ และหันมาใส่ใจฝึกฝนด้วยตัวเองเพื่อให้หลุดออกจากวงจรความทุกข์ได้อย่างยั่งยืน
ตัว ดร.แฮร์ริส เองก็เป็นคนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่คิดจริงจังกับการนั่งสมาธิจนมาได้รับการเปิดจิตจากสาร MDMA ที่ทำให้เขาเห็นว่าชีวิตมันมหัศจรรย์และมีอะไรมากกว่าที่เขาเคยคิดเยอะมาก เขาเห็นว่าเมื่อเราไม่มีอัตตาแล้ว เราจะสามารถรักทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยไม่มีเงื่อนไข (unconditional love หรือ universal love หรือโพธิจิต) โดยหลังจากนั้นเขาต้องใช้เวลานานในการประมวลความรู้สึกนี้ด้วยตรรกะเหตุผลจนสามารถเข้าใจและนำมาปรับใช้ในชีวิตเขาได้ เขาจึงใช้ประสบการณ์จาก MDMA ของเขามาช่วยในการฝึกจิตจนทำให้เขาสามารถฝึกฝนการนั่งสมาธิได้อย่างจริงจัง เขาเห็นว่าสารเปิดจิตเป็นตัวเปิดจิตที่ดี แต่ไม่สมควรที่จะใช้เป็นตัวช่วยอยู่ตลอดเวลา เพราะมิเช่นนั้นผู้ใช้ก็จะไม่สามารถเจริญเติบโตทางจิตได้ด้วยตัวเอง
สารเปิดจิตเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่บรรพบุรุษเราใช้มาแล้วหลายพันปี แต่ด้วยความขัดแย้งทางการเมือง การครอบงำจากกลุ่มนายทุน และความอวดรู้ของคนยุคปัจจุบัน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในเทคโนโลยีนี้ โดยเหมารวมว่ามันคือยาเสพติดให้โทษ หรือเป็นความงมงายในเรื่องจิตวิญญาณของมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์เท่านั้น
ไมเคิล โพลแลน ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย UC Berkeley เล่าว่า มนุษย์มีการใช้สารเปิดจิตในลักษณะของศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมต่างๆ ทั้งการติดต่อกับโลกจิตวิญญาณและการบำบัด มาเป็นเวลาหลายพันปี จนในปี 1938 ที่ ดร.อัลเบิร์ท ฮอฟแมน นักเคมีชาวสวิตเซอร์แลนด์คิดค้น LSD ซึ่งเป็นหนึ่งในสารเปิดจิตความเข้มข้นสูง เขาและบริษัทต้นสังกัดได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของสารนี้ในการบำบัดรักษาผู้ที่มีอาการทางจิต จึงได้ดำเนินโครงการแจก LSD ให้กับสถาบันวิจัยต่างๆโดยไม่มีเงื่อนไขเพื่อศึกษาที่จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อมนุษยชาติ และ LSD ก็ได้รับการยอมรับในวงการจิตเวชว่าเป็นยามหัศจรรย์ที่สามารถบำบัดปัญหาทางจิตได้ จากนั้น LSD ได้แพร่กระจายไปในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งหลังจากที่คนได้ถูกเปิดจิตด้วยสารประเภทนี้แล้ว จะเกิดความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อทั้งตนเองและผู้อื่น การเอารัดเอาเปรียบและหาประโยชน์ใส่ตนกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ จนมาในยุคปี 1960 ซึ่งเป็นช่วงที่อเมริกาส่งกำลังทหารไปรบที่เวียดนาม ทำให้กลุ่มคนพวกนี้ออกมาเดินขบวนต่อต้านการรบในเวียดนามเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลของ ทิมโมธี แลรี นักจิตวิทยามหาวิทยาลัย Harvard และผู้อุทิศตนให้กับประโยชน์ของ LSD และไซโลไซบินในการบำบัดจิตคนและเปลี่ยนแปลงสังคมให้มีความเอื้อเฟื้อมากขึ้น การต่อต้านรัฐบาลสหรัฐฯในการทำสงครามในเวียดนาม สร้างความไม่พอใจให้กับประธานธิปดี ริชาร์ต นิคสัน จนเขาได้ออกกฎหมายห้ามใช้สารเปิดจิต โดยการจัดให้สารเหล่านี้ทั้งหมดไปรวมอยู่ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษประเภทร้ายแรง (Schedule I) ทั้งที่ขัดกับผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ (ทั้งในยุคนั้นและในยุคปัจจุบัน) การใช้และการศึกษาสารเปิดจิตจึงต้องหยุดไปเพียงเพราะปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง
แต่ในปัจจุบันได้มีการทดลองใช้สารเปิดจิต โดยเฉพาะไซโลไซบินในเห็ดเมา ในการรักษาผู้ติดยาเสพติด ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล แล้วได้ผลดีอย่างมาก และยังมีแผนที่จะทดลองรักษาผู้ที่เป็นโรคหยุดกินไม่ได้ (eating disorder) และโรคย้ำคิดย้ำทำ (obsessive-compulsive disorder) อีกด้วย ถ้าเทียบผลการรักษาด้วยสารเปิดจิตกับยารักษาอาการซึมเศร้าทั่วไปที่หมอมักสั่งให้ผู้ป่วยทานอย่าง SSRI ถือว่าเทียบกันไม่ได้เลย ยาอย่าง SSRI ยิ่งทานยิ่งไม่ได้ผลเพราะร่างกายจะตอบสนองน้อยลง ผลข้างเคียงก็มากเช่นน้ำหนักตัวขึ้น สมรรถภาพทางเพศลดลง แถมทำได้แค่ระงับอาการซึมเศร้าได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น และผู้ป่วยต้องทานเป็นประจำไม่งั้นอาการจะกลับมาหนักกว่าเดิมอีก เป็นการบังคับให้ผู้ป่วยต้องพึ่งยาไปตลอดชีวิต ซึ่งไม่ต่างอะไรจากการบังคับให้เสพติดยาอย่างถูกกฎหมายและเงินก็ไหลเข้ากระเป๋าบริษัทยาโดยไม่มีใครทำอะไรได้ ในขณะที่สารเปิดจิตอย่างไซโลไซบินในเห็ดเมามีศักยภาพในการรักษาผู้ป่วยเหล่านี้ให้หายขาดด้วยการใช้เพียงไม่กี่ครั้ง และเป็นสารที่มีอยู่ในพืชตามธรรมชาติอยู่แล้ว ฉะนั้นใครจะมาจดสิทธิบัตรแสดงความเป็นเจ้าของไม่ได้
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอ สารเปิดจิตก็เช่นกัน หากใช้อย่างไม่ถูกวิธี เช่นใช้ในปริมาณที่มากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการทางจิตได้ เจสัน ซิลวา ผู้จัดรายการทีวีทาง National Geographic ให้ความเห็นว่า การที่รัฐบาลในหลายประเทศกำหนดให้สารพวกนี้เป็นสิ่งผิดกฎหมายก็ยิ่งจะทำให้ปัญหาความเสี่ยงจากการใช้อย่างไม่ถูกวิธีเพิ่มมากขึ้นไปอีก เพราะทำให้ไม่มีการจัดระเบียบและมาตรฐานของยาอย่างถูกต้อง
มนุษยได้ใช้สารเปิดจิตที่ธรรมชาติมอบให้ มาเป็นเวลาหลายพันปี ซึ่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เองก็ยืนยันแล้วว่าสามารถใช้ในการรักษาอาการทางจิตได้ดีกว่ายาอุตสาหกรรมอย่างเทียบกันไม่ได้ แต่กลับถูกรัฐบาลปิดกั้นเพียงเพราะผลประโยชน์ทางการเมือง แต่ยังดีที่ปัจจุบันคนกลับมาเห็นความสำคัญมากขึ้น ยิ่งในยุคนี้ที่คนต้องเครียดกับแทบจะทุกเรื่องในชีวิต เรายิ่งต้องการความช่วยเหลือจากธรรมชาติมากกว่าทุกยุคที่ผ่านมา เพื่อให้เราเข้าใจตัวเองและสามารถเลือกทางเดินที่จะก่อให้เกิดประโยชน์กับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกสีฟ้าใบเดียวใบนี้ของพวกเราและคนรุ่นหลังต่อไป
อ้างอิง https://bigthink.com/health/how-do-psychedelics-work/